บทบรรณาธิการ : จบดราม่าข้าวเน่า

ภูมิธรรม เวชยชัย
คอลัมน์ : บทบรรณาธิการ

การเดินทางไปยังจังหวัดสุรินทร์ เพื่อชิมข้าวสารที่ฝากเก็บไว้ในคลังที่เข้าร่วมโครงการรับจำนำข้าว สมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อายุการฝากเก็บข้าวประมาณ 10 ปี ของนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในสัปดาห์ที่ผ่านมากลับกลายเป็นกระแสดราม่าในสังคม ด้วยก่อให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์ถึงคุณภาพข้าว ความเหมาะสมและปลอดภัยที่จะนำข้าวสารอายุ 10 ปีมาบริโภค ตลอดจนการเท้าความเพื่อลากกลับไปยังการทุจริตในโครงการรับจำนำข้าวที่เกิดขึ้นในอดีต

โดยการไปตรวจคลังที่รับฝากเก็บข้าวจากโครงการรับจำนำข้าวในครั้งนี้ นับเป็นข้าวฝากเก็บ 2 คลังสุดท้ายที่ยังเหลืออยู่ ประกอบไปด้วย คลังกิตติชัย หลัง 2 (ข้าวหอมมะลิ 100%) รับมอบข้าวสารมาตั้งแต่วันที่ 3 มกราคม 2557 ถึง 10 มีนาคม 2557 มีอายุฝากเก็บข้าวไปแล้ว 10 ปี 2 เดือน รวมปริมาณทั้งสิ้น 26,094 ตัน หรือ 258,106 กระสอบ และได้มีการระบายข้าวสารจากคลังนี้ไปแล้ว 3 ครั้ง คงเหลือข้าวสาร 11,656 ตัน หรือ 112,711 กระสอบ

คลัง บจก.พูนผลเทรดดิ้ง หลัง 4 (ข้าวหอมมะลิ 100%) จ.สุรินทร์ รับมอบข้าวสารตั้งแต่วันที่ 14 มีนาคม 2557 ถึง 29 เมษายน 2557 มีอายุฝากเก็บข้าวแล้ว 10 ปี 7 วัน มีปริมาณรวมทั้งสิ้น 9,567 ตัน หรือ 94,637 กระสอบ จาก 6 โรงสี มีการระบายข้าวสารในคลังนี้ไปแล้ว 4 ครั้ง คงเหลือข้าวสาร 3,356 ตัน หรือ 32,879 กระสอบ

เป็นที่น่าสังเกตว่า ข้าวสารจากโครงการรับจำนำข้าวทั้ง 2 คลัง รวมกัน 35,661 ตัน หรือ 352,743 กระสอบนั้น ไม่ได้ถูกปิดตาย แต่ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมามีการเปิดประมูลเพื่อขายข้าวสารออกไปมากกว่าครึ่งหนึ่งของจำนวนข้าวสารที่ฝากเก็บไว้ทั้งหมดคงเหลืออยู่ในโกดังทั้งสอง รวมกันแค่ 15,012 ตัน หรือ 145,590 กระสอบแสดงว่า ที่ผ่านมา ข้าวสารจากคลังทั้งสองแห่งได้ถูกระบายออกไปตามสภาพที่เกิดขึ้น ในข้อที่ว่า ผู้ซื้อได้เสนอราคารับซื้อข้าวเก่าในคลังทั้ง 2 แห่ง ณ ราคาที่เท่าไหร่

หากผู้ซื้อเสนอราคาครั้งสุดท้ายก่อนที่จะเกิดการระบาดของโควิด-19 เสนอซื้อข้าวในราคาสูง แสดงว่าข้าวสารในคลังทั้งสองมีคุณภาพใช้ได้ อยู่ในเกรดของการประมูลข้าวเป็นการทั่วไป แต่หากผู้ซื้อเสนอราคาประมูลต่ำมาก แสดงว่าข้าวสารในคลังจะถูกนำไปใช้ในอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ หรือกิจการพลังงาน

Advertisment

ยกเว้นแต่จะมีการทุจริตในการประมูล เอาข้าวดีมาขายในราคาข้าวเน่า ซึ่งผู้รับผิดชอบสมควรที่จะต้องมีการตรวจสอบการประมูลซื้อข้าวในคลังทั้งสองย้อนหลังไปในอดีต เพื่อขจัดข้อสงสัยที่ว่า เมื่อเวลาผ่านไป 10 ปี ทำไมจึงมีข้าวสารตกค้างเหลืออยู่ในคลังทั้งสอง

ตรงนี้จะเป็นประเด็นสำคัญในการตรวจสอบการระบายข้าวสารในโครงการรับจำนำของรัฐบาล โดยไม่จำเป็นที่รัฐมนตรีจะต้องลงไปชิมข้าวเพื่อการันตีคุณภาพ ก่อนที่จะมีการเปิดประมูลแบบยกกองทั้งหมด

Scroll to Top