กรมวิชาการเกษตร แจ้งเตือน “ผู้ส่งออกผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร” หากมีส่วนผสมสารสกัดจากพืชในบัญชีแนบท้ายอนุสัญญาไซเตส ต้องขอหนังสืออนุญาต
วันที่ 20 พฤษภาคม 2567 ดร.ภัสชญภณ หมื่นแจ้ง รองอธิบดีกรมวิชาการเกษตร ในฐานะโฆษกกรมวิชาการเกษตร เปิดเผยว่า ขณะนี้กรมวิชาการเกษตรในฐานะหน่วยงานที่รับผิดชอบในการควบคุมการค้าพืชในบัญชีแนบท้ายอนุสัญญาไซเตส
- วิธีลงทะเบียนแอป ทางรัฐ ยืนยันตัวตน รับเงินดิจิทัล 10,000 บาท
- เปิด 20 อันดับโรงพยาบาลดีที่สุดในไทย ปี 2567
- เฮลิคอปเตอร์ประธานาธิบดีอิหร่านเกิดอุบัติเหตุ พบในสภาพไหม้เกรียม คาดดับยกลำ
ได้รับการแจ้งเตือนจากสหภาพยุโรปว่ามีการส่งออกผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีส่วนผสมของสารสกัดจากพืชในบัญชีแนบท้ายอนุสัญญาไซเตสจำนวนมากไปยังสหภาพยุโรป (EU) โดยไม่มีหนังสืออนุญาตไซเตส (CITES Permit) ส่งผลให้ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวได้รับการปฏิเสธไม่ให้เข้าไปยังสหภาพยุโรป ถูกกักยึดทำลาย และยังถูกดำเนินคดีปรับเป็นเงินจำนวนมากในประเทศปลายทางอีกด้วย
“ขอให้บริษัทผู้ผลิต ผู้ส่งออกผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีส่วนผสมของสารสกัดจากพืชในบัญชีแนบท้ายอนุสัญญาไซเตส รวมถึงประชาชนทั่วไป ได้ทราบว่าสารสกัดจากพืชในบัญชีแนบท้ายอนุสัญญาไซเตส โดยเฉพาะสารสกัดจากกระบองเพชรทุกชนิด และพืชสมุนไพรอีกหลายชนิดที่อยู่ในการควบคุมของอนุสัญญาไซเตส และเป็นพืชอนุรักษ์ตามพระราชบัญญัติพันธุ์พืช พ.ศ. 2518
และที่แก้ไขเพิ่มเติม ฉบับที่ 2 พ.ศ. 2535 การส่งออกผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีส่วนผสมของสารสกัดจากพืชในบัญชีแนบท้ายอนุสัญญาไซเตสไปนอกราชอาณาจักร จะต้องได้รับหนังสืออนุญาตไซเตสจากกรมวิชาการเกษตร”
โดยผู้ประกอบการและผู้ส่งออกผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร สามารถตรวจสอบพืชหรือสารสกัดจากพืชที่อยู่ในการควบคุมของอนุสัญญาไซเตสได้จากประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เรื่อง พืชอนุรักษ์ พ.ศ. 2564 หรือที่เว็บไซต์ https://checklist.cites.org/#/en
โดยชนิดพืชในบัญชีไซเตสที่นิยมใช้เป็นส่วนผสมของผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปต่าง ๆ เช่น กระบองเพชร ใช้เป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร หรือกาแฟลดน้ำหนัก กล้วยไม้และว่านหางจระเข้แอฟริกาเป็นส่วนผสมในโลชั่น ครีมบำรุงผิว กฤษณาและโกฐกระดูก เป็นส่วนผสมในยาหอม
สำหรับผู้ฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามนอกจากจะทำให้ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวได้รับการปฏิเสธการเข้าประเทศปลายทางและถูกกักยึดทำลายแล้ว ยังมีบทลงโทษสำหรับผู้ส่งออกที่ไม่ขอหนังสืออนุญาตไซเตส ตามพระราชบัญญัติพันธุ์พืช พ.ศ. 2518 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ฉบับที่ 2 พ.ศ. 2535 โดยกำหนดโทษจำคุกไม่เกิน 3 เดือน ปรับไม่เกิน 3,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับอีกด้วย